วันอาทิตย์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2554

เทคนิคการแกะสลักผัก ผลไม้

 วันนี้เรามีเทคนิคการแกะสลัก ผักและผลไม้มาฝากกันนะค่ะ  ลองมาดูกันเลยค่ะ  ^^


เทคนิคการแกะสลัก 







แครอท ก่อนจะนำไปแกะสลักไม่ควรแช่น้ำ เพราะ เนื้อจะแข็งจะทำให้แกะยาก เมื่อแกะสลักเสร็จนำไปแช่น้ำ กลีบจะแข็งอยู่ตัว สีสด





ขิง เมื่อแกะสลักเสร็จนำไปแช่น้ำผสมน้ำมะนาวสักครู่ จะเปลี่ยนเป็นสีชมพูสวย





เผือก ควรล้างทั้งเผือกแล้วผึ่งให้แห้งก่อนปลอกเปลือก และแกะสลัก เพราะถ้าน้ำเผือกมาล้างน้ำหลังจากปลอกเปลือกจะมีเมือกและคันมือ เมื่อแกะสลักแล้ว ล้างด้วยน้ำผสมสารส้มเจือจาง หรือน้ำมะขามเปียก เผือกจะมีสีขาวสวย






หัวไชเท้า เมื่อแกะสลักเสร็จให้แช่น้ำเย็นจัดจะสดนาน




ฟักทอง เมื่อแกะสลักเสร็จแล้วไม่ควรแช่น้ำ เพราะ ฟักทองจะเปลี่ยนสี เน่าเร็ว ให้ใช้ผ้าขาวบางชุบน้ำบิดหมาดๆคลุมไว้ หรือนำไปแช่ตู้เย็น



หอมแดงและหอมใหญ่ ในขณะที่ปอกและแกะสลัก จะมีสารระเหยออกมาทำให้แสบตา ต้องนำไปแช่น้ำก่อน




บีทรูท เมื่อปลอกเปลือกแล้วควรล้างด้วยน้ำเกลือเจือจางก่อน เพื่อไม่ให้สีตกออกมามากเกินไป ถ้าทิ้งไว้จะดำ ควรฉีดน้ำอยู่เสมอ



การดูแลและเก็บรักษาดอกไม้แกะสลักจากผักและผลไม้

     การ ดูแลและเก็บรักษาดอกไม้แกะสลักจากผักและผลไม้ก็มีวิธีการดูแลโดยทั่วไป เหมือนกับการแกะสลักใบไม้ ดังได้กล่าวไว้แล้ว แต่มีข้อควรปฏิบัติเพิ่มเติมอีกบางส่วนเนื่องจากการแกะสลักดอกไม้มักจะใช้ ผัก และผลไม้ที่หลากหลายชนิดซึ่งบางชนิดอาจจะมีข้อจำกัดอยู่บ้าง จึงมีวิธีการดูแลลักษณะเฉพาะของผักและผลไม้แต่ละชนิด เช่น


1. แครอท หัวบีต เมื่อแกะสลักเสร็จแล้วไม่ควรแช่น้ำ เพราะเม็ดสีละลายน้ำได้ดี สีของผักจะซีด

2. เผือก ควรล้างน้ำทั้งเปลือก ผึ่งให้แห้งแล้วปอกเปลือกเกลาให้เรียบ และในขณะที่แกะสลักไม่ควรล้างน้ำ เพราะทำให้เป็นเมือกและคัน เมื่อแกะสลักเสร็จแล้วนำไปล้างน้ำผสมสารส้มเจือจาง จะทำให้เผือกมีสีขาวขึ้น


3. ฟักทอง ก่อนใช้แกะสลักต้องล้างให้หมดยางก่อน แต่ไม่ควรแช่น้ำเพราะฟักทองจะเปื่อยและเมื่อแกะสลักแล้วปลายกลีบมีสีขาว


4. ชมพู่ ในขณะแกะสลักไม่ควรแช่น้ำจะเป็นขุย แกะเสร็จล้างน้ำมะนาวเจือจางแล้วล้างน้ำเย็น





วันจันทร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ความเป็นมาของการแกะสลักผักและผลไม้

       ดิฉันเป็นคนหนึ่งที่มีความชอบในเรื่องของการแกะสลักผักและผลไม้ และมีความสามารถพิเศษด้านการแกะสลักผักและผลไม้  ซึ่งได้ผ่านการแข่งขันมาหลายครั้งตั้งแต่ที่เรียนประถมจนถึงมัธยม  แต่ช่วงที่เข้าเรียนมหาวิทยาลัยไม่ได้ไปแข่งขันที่ไหนเลย  จึงนึกถึงความสามารถของตัวเอง ซึ่งมันทำให้เราฝึกในเรื่องของการมีสมาธิ  ความละเอียด  ความประณีตและใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์  มีความสุขมากที่ได้ทำในสิ่งที่ชอบและถนัด





คุณเคยรู้ประวัติความเป็นมาของการแกะสลักผักและผลไม้กันไหม ?

มาดูกันคะ

            การแกะสลักผักและผลไม้ เป็นการแสดงออกทางวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ประจำชาติไทยเลยทีเดียว ซึ่งไม่มีชาติใดสามารถเทียมได้ แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดในปัจจุบันนี้เห็นจะเป็นเรื่องของการอนุรักษ์ศิลปะแขนงนี้ที่มีแนวโน้มจะสูญหายไปหรือลดน้อยลงไปเรื่อย

       การแกะสลักผักและผลไม้เดิมเป็นวิชาการขั้นสูงของกุลสตรีในรั้วในวัง ต้องฝึกฝนและเรียนรู้จนเกิดความชำนาญบรรพบุรุษของไทยเราได้มีการแกะสลักกันมานานแล้ว แต่จะเริ่มกันมาตั้งแต่สมัยใดนั้น ไม่มีผู้รู้เนื่องจากไม่มีหลักฐานแน่ชัด จนถึงสมัยสุโขทัยเป็นราชธานี ในรัชสมัยของสมเด็จพระร่วงเจ้า ได้มีนางสนมคนหนึ่งชื่อ นางนพมาศ หรือท้าวศรีจุฬาลักษณ์ ได้แต่งหนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ หรือนางนพมาศขึ้น และในหนังสือเล่มนี้ ได้กล่าวถึงพิธีต่าง ๆ ไว้ และพิธีหนึ่ง เรียกว่า พระราชพิธีจองเปรียงในวันเพ็ญเดือนสิบสอง เป็นนักขัตกฤษ์ชักโคมลอย นางนพมาศได้คิดตกแต่งโคมลอยให้งามประหลาดกว่าโคมของพระสนมทั้งปวง ได้เลือกผกาเกสรสีต่าง ๆ ประดับเป็นรูปดอกกระมุทบานกลีบรับแสงพระจันทร์ ล้วนแต่พรรณของดอกไม้ซ้อนสีสลับให้เป็นลวดลายแล้วจึงนำเอาผลพฤกษาลดาชาติ มาแกะสลักเป็นระมยุระคณานกวิหคหงส์ให้จับจิกเกสรบุปผาชาติอยู่ตามกลีบดอกกระมุท เป็นระเบียบร้อยวิจิตรไปด้วยสีย้อมสดส่ง ควรจะทอดทัศนายิ่งนัก ทั้งเสียบแซมเทียนธูปและประทับน้ำมันเปรียงเจือด้วยไขข้อระโค (กรมศิลปากร, 2531 : 97 – 98) จึงได้มีหลักฐานการแกะสลักมาตั้งแต่สมัยนั้น
     ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงโปรดการประพันธ์ยิ่งนัก พระองค์ทรงพระราชนิพนธ์กาพย์แห่ชมเครื่องคาวหวาน และแห่ชมผลไม้ได้พรรณนา ชมฝีมือการทำอาหาร การปอกคว้านผลไม้ และประดิดประดอยขนมสวยงาม และอร่อยทั้งหลาย ว่าเป็นฝีมืองามเลิศของสตรีชาววังสมัยนั้น พระราชนิพนธ์กาพย์แห่ชมเครื่องคาวหวานตอนหนึ่งว่า 


      น้อยหน่านำเมล็ดออก        ปล้อนเปลือกปอกเป็นอัศจรรย์
             มือใครไหนจักทัน               เทียบเทียมที่ฝีมือนาง
    ผลเงาะไม่งามแงะ              มล่อนเมล็ด และเหลือปัญหา
            หวนเห็นเช่นรจนา               จำเจ้าเงาะเพราะเห็นงาม

  และทรงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่อง สังข์ทอง พระองค์ทรงบรรยายตอนนางจันทร์เทวี แกะสลักชิ้นฟักเป็นเรื่องราวของนางกับพระสังข์ นอกจากนั้นยังมีปรากฏในวรรณกรรมไทยแทบ ทุกเรื่อง เมื่อเอ่ยถึงตัวนางซึ่งเป็นตัวเอกของเรื่องว่า มีคุณสมบัติของกุลสตรี เพรียกพร้อมด้วยฝีมือการปรุงแต่งประกอบอาหารประดิดประดอยให้สวยงามทั้งมีฝีมือในการประดิษฐ์งานช่างทั้งปวง ทำให้ทราบว่า กุลสตรีสมัยนั้นได้รับการฝึกฝนให้พิถีพิถันกับการจัดตกแต่งผัก ผลไม้ และการปรุงแต่งอาหารเป็นพิเศษ จากข้อความนี้น่าจะเป็นที่ยืนยันได้ว่า การแกะสลักผัก ผลไม้ เป็นศิลปะของไทยที่กุลสตรีในสมัยก่อนมีการฝึกหัด เรียนรู้ผู้ใดฝึกหัดจนเกิดความชำนาญ ก็จะได้รับการยกย่อง
       
ปัจจุบันวิชาการช่างฝีมือเหล่านี้ ถูกบรรจุอยู่ในหลักสูตร ตั้งแต่ชั้นประถมศึกษา มัธยมศึกษามาจนถึงอุดมศึกษาเป็นลำดับ ประกอบกับรัฐบาลและภาคเอกชนได้ให้การสนับสนุน จึงมีการอนุรักษ์ศิลปะต่าง ๆ อย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะการแกะสลักผลงานประเภทเครื่องจิ้ม จนกระทั่งงานแกะสลักได้กลายเป็นสิ่งที่ต้องประดิษฐ์ ตกแต่งบนโต๊ะอาหารในการจัดเลี้ยงแขกต่างประเทศ ตามโรงแรมใหญ่ ๆ ภัตตาคาร ตลอดจนร้านอาหาร ก็จะใช้งานศิลปะการแกะสลักเข้าไปผสมผสานเพื่อให้เกิดความสวยงาม หรูหรา และประทับใจแก่แขกในงาน หรือสถานที่นั้น ๆ งานแกะสลักผลไม้ จึงมีส่วนช่วยตกแต่งอาหารได้มาก คงเป็นเช่นนี้ตลอดไป



  
หากมีเวลาว่างแล้วจะนั่งแกะสลักและอัพเดจรูปมาให้ดูกันนะคะ